Retention คืออะไร ต่างจาก Refinance อย่างไร?

Retention

            ในช่วงเวลา 3 ปีให้หลังหลังจากการกู้ซื้อบ้านหรือคอนโด เชื่อได้เลยว่าหลาย ๆ คนคงกำลังง่วนอยู่กับการหาโปรโมชั่น Refinance กับธนาคารต่าง ๆ เพื่อลดภาระอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้น แต่นอกจากการ Refinance ก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดภาระอัตราดอกเบี้ยลงได้แบบไม่ต้องยุ่งยาก โดยวิธีการ Retention ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า 2 วิธีนี้แตกต่างกันอย่างไรและควรจะเลือกวิธีการไหนดี ในบทความนี้มีคำตอบมาให้ลองนำไปพิจารณากัน

การ Refinance คืออะไร

            การ Refinance ถือเป็นวิธีการที่ผู้ซื้อบ้านหรือคอนโดน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว โดยการ Refinance คือการขอยื่นกู้สินเชื่อกับธนาคารใหม่เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยในการผ่อนให้น้อยลง เพราะโดยทั่วไปแล้วการผ่อนบ้านหรือคอนโดในช่วง 3 ปีแรกนั้น อัตราดอกเบี้ยจะยังไม่สูงมากนัก แต่เมื่อครบระยะสัญญา 3 ปี อัตราดอกเบี้ยก็จะปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิมมากกว่าเท่าตัว ดังนั้นการ Refinance นี้จึงจะช่วยลดภาระในการผ่อนได้เป็นอย่างมาก

            อย่างไรก็ตาม แม้การ Refinance จะทำให้คุณลดอัตราดอกเบี้ยในการผ่อนลงไปได้ แต่การขอยื่นกู้สินเชื่อกับทางธนาคารใหม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ระยะเวลานานในการรอการอนุมัติ เพราะทางธนาคารจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบเอกสารทางการเงินต่าง ๆ สำหรับการพิจารณาการกู้ใหม่ นอกจากนี้ยังต้องมีการเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าประกันอัคคีภัย ค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าจัดการสินเชื่อตามสัญญาใหม่

การ Retention คืออะไร

            สำหรับวิธีการ Retention นั้น เป็นการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับทางธนาคารเดิมที่คุณกู้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นแน่นอนว่าทางธนาคารก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลานานในการอนุมัติ โดยในบางธนาคารใช้ระยะเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานาน นอกจากนี้แล้วยังไม่ต้องมีการเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก และที่สำคัญยังไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากระหว่างการดำเนินการด้วย มีเพียงค่าธรรมเนียมสินเชื่อประมาณ 1-2% ของวงเงินกู้เท่านั้น

Refinance และ Retention ต่างกันอย่างไร

            แม้การ Refinance และ Retention จะเป็นวิธีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับทางธนาคารเช่นเดียวกัน แต่ทั้ง 2 วิธีการก็มีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเรื่องของการยื่นเอกสาร ระยะเวลาในการรอการอนุมัติ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรียกได้ว่าจะต้องใช้การคำนวณและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่น การ Retention นั้น แม้จะมีการดำเนินการที่ไม่ยุ่งยาก แต่อัตราดอกเบี้ยมักจะสูงกว่าการ Refinance ส่วนการ Refinance แม้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และต้องยุ่งยากเตรียมเอกสารเหมือนการกู้ซื้อบ้านใหม่

            ไม่ว่าผู้กู้จะเลือกวิธีการไหนก็ควรพิจารณาจากความคุ้มค่าเป็นหลัก เพื่อที่จะได้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนให้ได้มากที่สุด และสำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกลดอัตราดอกเบี้ยด้วยวิธีการ Refinance หรือ Retention ก็สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ DDproperty.com เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ได้รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ ขาย เช่า ที่น่าสนใจทั้งโครงการใหม่และบ้านมือสองในหลากหลายทำเลครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมเป็นแหล่งรวมความรู้ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในการซื้อ-ขาย-เช่า เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการตัดสินใจซื้อให้ผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสามารถเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด